การนำเข้าของที่ได้รับบริจาค
ของที่ได้รับบริจาค หมายถึง ของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปเพื่อบริจาคเป็นการสาธารณกุศลแก่ประชาชนโดยผ่านส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล หรือเป็นของที่นำเข้ามาเพื่อให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ไม่รวมถึง
- รถยนต์และยานยนต์ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลไม่เกิน ๙ คน รวมทั้งคนขับ เว้นแต่รถพยาบาล
- รถยนต์บรรทุกของชนิดแวนและชนิดปิกอัพและรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกับรถดังกล่าวที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก (จี.วี.ดับบลิว) ไม่เกิน ๕ ตัน และรถยนต์ดังกล่าวที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก (จี.วี.ดับบลิว) เกิน ๕ ตัน ที่มีเครื่องยนต์ที่มิใช่เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบที่จุดระเบิดด้วยการอัด (ดีเซลหรือกึ่งดีเซล) หรือที่จุดระเบิดด้วยประกายไฟ
หมายเหตุ
คำว่า "ส่วนราชการ" หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
-
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการยกเว้นอากรของที่ได้รับบริจาค มีดังนี้
-
ของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปเพื่อบริจาคเป็นสาธารณกุศลแก่ประชาชนโดยผ่านส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล จะได้รับการยกเว้นอากรต้องเป็นดังนี้
- ต้องนำเข้าหรือส่งออกในนามของส่วนราชการ หรือองค์การสาธารณกุศล ที่เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามที่กำหนดใน ข้อ 2 หรือข้อ 3 ของประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เรื่อง กำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ (ดูรายละเอียดได้ที่ www.rd.go.th/publish/2644.0.html)
- มีหลักฐานของผู้บริจาคเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงความจำนงมอบให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลนั้น เพื่อนำของดังกล่าวไปบริจาคแก่ประชาชนต่อไป โดยไม่มีเงื่อนไขและข้อผูกพันใด ๆ ทั้งนี้ ผู้บริจาคต้องแสดงความจำนงในหลักฐานดังกล่าวไว้ก่อนวันที่นำของเข้ามาหรือส่งออกไป
-
ถ้าบริจาคผ่านส่วนราชการ ส่วนราชการนั้น ต้องมีหน้าที่ในการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือหรือบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน ถ้าบริจาคผ่านองค์การสาธารณกุศล องค์การสาธารณกุศลนั้น ต้องนำไปช่วยเหลือหรือบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนตามที่ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การสาธารณกุศล
ในกรณีที่มีสาธารณภัย เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจยกเว้นหรือผ่อนผันหลักเกณฑ์และเงื่อนไขได้ตามที่เห็นสมควร
-
ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลจะได้รับยกเว้นอากรต้องเป็นดังนี้
- ต้องนำเข้าหรือส่งออกในนามของส่วนราชการ หรือองค์การสาธารณกุศล ที่เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามที่กำหนดใน ข้อ 2 หรือข้อ 3 ของประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เรื่อง กำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ (ดูรายละเอียดได้ที่ www.rd.go.th/publish/2644.0.html)
- มีหลักฐานของผู้บริจาคเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงความจำนงมอบให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลนั้น โดยไม่มีเงื่อนไขและข้อผูกพันใด ๆ ทั้งนี้ ผู้บริจาคต้องแสดงความจำนงในหลักฐานดังกล่าวไว้ก่อนวันที่นำของเข้ามาหรือส่งออกไป
- เป็นของที่นำไปใช้ตามหน้าที่ส่วนราชการ หรือนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งขององค์การสาธารณกุศล
- ของตามข้อ (1.1) หรือข้อ (1.2) ต้องไม่เป็นของที่จัดซื้อโดยใช้เงินของส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล หรือเงินที่มีผู้มอบให้
-
ระเบียบปฏิบัติสำหรับการยกเว้นอากรของตามประเภท 11 ภาค 4 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ดังต่อไปนี้
-
การขอยกเว้นอากร ให้ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล เป็นผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต่อกรมศุลกากร ก่อนนำของออกจากอารักขาของศุลกากร
-
กรณีส่วนราชการเป็นผู้ขอยกเว้นอากร กำหนดให้ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรและผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากร เป็นดังนี้
- ราชการส่วนกลาง ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
- ราชการส่วนภูมิภาค ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการระดับจังหวัด และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
-
ราชการส่วนท้องถิ่น
- กรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการระดับจังหวัด และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากร ต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
- กรณีกรุงเทพมหานคร ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นสำนักปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นปลัดกรุงเทพมหานครหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
- กรณีเมืองพัทยา ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นสำนักปลัดเมืองพัทยา และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นปลัดเมืองพัทยาหรือที่ระดับสูงกว่าขึ้นไปหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
-
หน่วยงานอื่นของรัฐ
- กรณีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ให้มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐนั้นเป็นผู้ยื่นขอยกเว้นอากร และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
-
กรณีหน่วยงานอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เช่น องค์การมหาชน องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ให้หน่วยงานของรัฐนั้นเป็นผู้ยื่นขอยกเว้นอากร และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
- ผู้บังคับบัญชาสูงสุด หรือผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
- หัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรม หรือเทียบเท่าขึ้นไปที่กำกับดูแล รักษาการ หน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
- กรณีองค์การสาธารณกุศลเป็นผู้ขอยกเว้นอากร กำหนดให้ผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามที่กำหนดใน ข้อ 2 หรือข้อ 3 ของประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เรื่อง กำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕โดยผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากร ต้องเป็นผู้มีอำนาจลงนามตามตราสารการจัดตั้งองค์การหรือสถานสาธารณกุศลนั้น
-
ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลดังกล่าว ต้องยื่นหนังสือขอยกเว้นอากร พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบการขอยกเว้นอากร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
-
หนังสือขอยกเว้นอากร อย่างน้อยต้องแสดงรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- ชื่อหน่วยงาน ที่ขอยกเว้นอากร
- บุคคล หรือ หน่วยงาน ที่เป็นผู้บริจาคหรือมอบให้
- วัตถุประสงค์ในการนำของไปใช้ประโยชน์
- ท่า ที่ หรือ สนามบิน ที่ใช้สำหรับการนำของเข้า
- ประมาณการช่วงเวลาที่นำของเข้า
- ชื่อของ รายละเอียดของ จำนวนของ มูลค่าและสกุลเงินของของ
- ลายมือชื่อ ชื่อ-นามสกุล และ ตำแหน่ง ของผู้ลงนามตามที่กำหนดในข้อ 2.1
-
เอกสารและหลักฐานที่ให้ยื่นประกอบการขอยกเว้นอากร ดังต่อไปนี้
- หลักฐานแสดงความจำนงบริจาคหรือมอบให้ เป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นต้นฉบับ ซึ่งแสดงว่าเป็นการบริจาคหรือการให้โดยไม่มีเงื่อนไขและข้อผูกพันใด ๆ พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย
- หนังสือตอบรับการบริจาคหรือการให้
- เอกสารสำแดงมูลค่าของของ เช่น Invoice หรือ Proforma Invoice เป็นต้น
- เอกสารใบตราส่งสินค้า ในกรณีที่มี เช่น Bill of Lading หรือ Air Waybill เป็นต้น
- เอกสารอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณายกเว้นอากร ในกรณีที่มี เช่น ภาพถ่ายของของ คุณลักษณะเฉพาะของของ ตราสารมอบอำนาจหรือมอบหมายให้ลงนาม เป็นต้น
- ตราสารการจัดตั้งองค์การหรือสถานสาธารณกุศล และที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง (เฉพาะกรณีผู้ยื่นขอยกเว้นอากรเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล)
กรณีเอกสารหรือหลักฐานเป็นสำเนาจะต้องลงลายมือชื่อ ชื่อ-นามสกุล ตำแหน่ง เพื่อรับรองสำเนาด้วย
- ในกรณีที่ข้อมูลหรือเอกสารและหลักฐาน มีรายละเอียดไม่เพียงพอที่จะพิจารณาให้ของได้รับยกเว้นอากร ให้มีหนังสือแจ้งแก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล เพื่อสอบถามหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม โดยให้ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลมีหนังสือเพื่อยืนยันหรือชี้แจงข้อมูล พร้อมยื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนด
-
เมื่อกรมศุลกากรอนุมัติให้ของได้รับยกเว้นอากร และมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ยกเว้นอากรของบริจาคตามประเภท 11 ภาค 4 แล้ว ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลนั้น จะต้องนำเอกสารการอนุมัติยกเว้นและเอกสารประกอบการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าไปติดต่อสำนักงานหรือด่านศุลกากรที่นำของเข้าเพื่อปฏิบัติพิธีการเพื่อนำของออกจากอารักขาของศุลกากรต่อไป
กรณีที่มีการร้องขอ และอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย เห็นว่าของใดมีความจำเป็นต้องนำออกไปจากอารักขาของศุลกากรโดยรีบด่วน ก็ให้วางเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร หรือหนังสือของส่วนราชการ เพื่อเป็นประกันค่าภาษีอากร พร้อมแนบสำเนาหนังสือขอยกเว้นอากร
ทั้งนี้ ก่อนนำของออกจากอารักขาของศุลกากร ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล ต้องปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากร และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ซึ่งหน่วยงานอื่นกำหนดไว้ให้ครบถ้วน
ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการศุลกากรสำหรับการนำเข้าของที่ได้รับบริจาค
- ผู้นำของเข้ายื่นหนังสือขอปฏิบัติพิธีการของที่ได้รับบริจาคและหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ยกเว้นอากรของบริจาคตามประเภท 11 ภาค 4 ที่กรมศุลกากรได้อนุมัติยกเว้นอากรแล้วพร้อมเอกสารประกอบการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าที่สำนักงานศุลกากร/ด่านศุลกากรที่นำของเข้าพร้อมเอกสารประกอบ
- ผู้นำของเข้าหรือตัวแทน จัดทำและส่งข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้าและนำใบขนสินค้าขาเข้าไปปฏิบัติพิธีการ เพื่อขอรับของออกจากอารักขาศุลกากร
ของบริจาคที่เป็นของต้องกำกัด
- ของบริจาคใด ๆ ที่มีกฎหมายกำหนดว่าหากจะมีการนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือนำผ่านราชอาณาจักร จะต้องขออนุญาตหรือปฏิบัติให้ครบถ้วนก่อนการนำเข้าจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
- การนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ ต้องยื่นขออนุญาตนำเข้าจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนการนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยยื่นคำขอนำเข้า ณ ด่านอาหารและยา ที่จะนำของเข้า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หากมีข้อสอบถามหรือข้อเสนอแนะประการใดโปรดติดต่อ
- ฝ่ายมาตรฐานพิกัดอัตราศุลกากรที่ 3.2 ส่วนมาตรฐานพิกัดอัตราศุลกากร 3 กองพิกัดอัตราศุลกากร โทร. 02-667-6411, 02-667-7205, 02-667-6419
- ฝ่ายเอกสิทธิ์และส่งเสริมการลงทุน ส่วนบริการกลาง สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ โทร. 0-2667-7000 ต่อ 20-5523, 20-7638 หรือ 20-5539
- ฝ่ายเอกสิทธิ์และส่งเสริมการลงทุน ส่วนบริการกลาง สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โทร. 0-2667-7000 ต่อ 25-3216 หรือ 0-2134-1252